
เรื่องของคว าย และหม า ที่สะท้อนให้เห็นว่า.. สังคมการทำงานที่เป็นอยู่ในทุกยุคสมัย
(คนที่เสนอหน้านั้นมักได้ดีกว่าคนทำงาน)
เคยสงสัยกันไหมว่า…?
“ทำไม ค วาย ที่ไถนาอาหารที่ได้กินจึงไม่ใช่ข้าว แต่…ห ม าที่ไม่ได้ออกแรงทำนา กลับได้กินข้าว
อย่างอิ่มหนำสำราญ”
ลองมาฟังเรื่องเล่า… “ควา ยทำนา หม ากินข้าว” แล้วคุณจะเข้าใจเหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร
ชาวนาสมัยก่อนใช้ควา ย ไถนาเพื่อเพาะปลูกข้าวชาวนาได้เลี้ยงสัตว์ 2 ตัว คือ ควา ย กับ ห มา
ในแต่ละวันสัตว์ทั้งสองตัวจะมีหน้าที่ คือ การออกไปทำนาตั้งแต่เช้าตรู่..
โดยพอถึงเวลาใกล้เที่ยง ชาวนาจะออกไปตรว จ ดูความเรียบร้อย
อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ควา ย และ ห มา ออกไปทำนาแต่เช้าตามปกติ โดยที่ควา ย จะเป็นคนไถนา
ทำนาอย่างขยันขันแข็ง เดินวนไปมาจนไถจนหมด ควา ย ก็ทั้งเหนื่อยและหมดแรง
จึงไปอาบน้ำล้างตัวและนอนพักใต้ต้นไม้ใหญ่ส่วน ห มา มาถึงที่นาก็เอาแต่นอน พอเห็นว่า..
ใกล้จะเที่ยง เป็นเวลาที่ชาวนาจะมาตรว จ งานก็รีบลุกออกไปเดินย่ำบนผืนนาที่ควายได้ไถพรวนไว้จนทั่ว ทำให้ท้องนา มีแต่รอยเท้าหมา
เมื่อชาวนามาถึง หมาก็รีบวิ่งไปหาด้วยเนื้ อ ตัวที่เปื้อนไปด้วยโคลน และบอกว่า…“ตนได้ไถนาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหนื่อยจนสายตัวแทบขา ด”
ชาวนาชื่นชมมาเป็นการใหญ่ แต่พอชาวนามองไปเห็น ควา ย (นอนหลับอย่างสบายใจใต้ต้นไม้ใหญ่)
ก็รู้สึกโม โห จึงเข้าไปต่อว่า…“เจ้ามันขี้เกีย จ ไม่สมควรได้กินข้าว ต่อจากนี้ไปให้ไปกินหญ้าแทนข้าวและลงโท ษด้วยการให้นอนในคอกที่ชื้นแฉะ”
ส่วนหม า “เจ้าขยันขันแข็งช่วยคนทำนา ต่อจากนี้ให้กินอยู่แบบเดียวกับคน นอนในบ้านที่อบอุ่น”
นี่แหละ.. คือสาเห ตุที่ทำไม ควา ย ถึงกินหญ้า.. และ ห ม า ได้กินข้าว
ในยุคปัจจุบันหากเปรียบกับการทำงาน เชื่อว่า หลายคนคงพบเจอคนประเภทเดียวกับห ม าที่ชอบทำงา น เอาหน้า ชอบประจบเจ้านาย
ชอบพูดมากกว่าลงมือทำ ทำให้มักจะได้รับคำชื่นชม หรือการได้รับการเลื่อนขั้นได้ดีกว่าได้รับเงินเดือนมากกว่า คนที่ทำงานหนัก
แต่ก็เช่นกัน มีอีกหลายคนที่ทำงานหนักมากซื่อสัตว์กับงานที่ทำเช่นเดียวกันกับค ว า ย
ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเอง โดยไม่ได้คิดเรื่องการเสนอผลงาน หรือแสดงความสามารถที่ตนมีออกมาให้คนอื่นได้เห็น
จึงมักถูกเอาเปรียบอยู่เป็นประจำ และถูกมองว่า..เป็นคนขี้เกีย จ อยู่เสมอ..
ขอบคุณที่มาข้อมูล Gotoknow