
ไม่ว่าสังคมจะรุ่งเรืองไปเท่าใด แต่ช่องว่างของความร่ำรวยระหว่างผู้คนในฐานะทางสังคม
ที่ต่างกันยังมีให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากเหตุผลทางสังคมบางอย่างแล้ว ปัจจัยบางประการ
เช่น ภูมิหลังครอบครัว, ความสำเร็จด้านการศึกษา, ความคิดและความสามารถส่วนบุคคล ฯลฯ
ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อฐานะทางเศรษฐกิจและความสำเร็จของคนเราอยู่
ดังที่บิลเกตส์ได้กล่าวไว้ว่า “ความผิดของคุณไม่ใช่การที่คุณเกิดมายากจนแต่เป็นการที่คุณ ต า ย
ไปอย่างยากจนต่างหาก” ไม่มีเหตุผลใดที่อธิบายได้ว่าทำไมคนเราต้องเกิดมายากจน
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดทั้งนี้ คนยากจนนั้นยังไม่ได้ยากจนเพียงแค่
ด้านทรัพย์สิน แต่ยังยากจนด้านความรู้, ความคิดสร้างสรรค์, รวมถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรอื่น ๆ
ให้ทำเงินได้มากขึ้นอีกด้วย! นอกจากนี้คนจนส่วนใหญ่ยังไม่ใช่คนที่ขี้เกียจมาแต่เดิม
แม้พวกเขาจะทำงานหนักทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนรวมถึงใช้ชีวิตอย่างสมถะ
แต่สุดท้ายกลับยังเป็นคนยากจนอยู่ แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนกันแน่?
คำตอบคือพวกเขาไม่ได้มีความแตกต่างกันแค่ด้านเงินทองเท่านั้น แต่ยังมีความแตกต่างกันในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย
1. การรู้จักตัวเอง
คนจน: คนยากจนมีวิถีชีวิตที่คุ้นเคย กับความยากจนจึงไม่ค่อยมีความคิดที่จะทำตัวเองให้ร่ำรวยขึ้น
และมองตนเองเป็นคนยากจนอยู่เสมอฉะนั้นเมื่อมีเงินพวกเขาจึงจะเลือกที่จะใช้จ่ายไปกับการซื้อบ้าน,
ซื้อรถหรือสิ่งอื่น ๆ ที่จะช่วยยกระดับชีวิตในระยะสั้นแทนการใช้จ่ายเงินไปกับการพัฒนาตนเองและสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ
คนร่ำรวย: คนร่ำรวยไม่อาจทนใช้ชีวิต ในสภาพแวดล้อมที่อัตคัต ทั้งพวกเขายังไม่เชื่อว่าตัวเอง
ถูกลิขิตให้เกิดมาเป็นคนยากจน พวกเขาจึงมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เป็นอยู่และพยายามทุกวิถีทาง
ที่จะก้าวข้ามผ่านความยากลำบากที่กำลังเผชิญอยู่เนื่องจากพวกเขารู้จักตนเองเป็นอย่างดี
และรักในศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูกว่าจนและความรู้จักตัวเองนี้เอง
ทำให้พวกเขาสร้างความเปลี่ยนแปลงและมุ่งมั่นเพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น
2. สำนึกความเป็นเจ้าของ
คนยากจน: คนจนมักคิดไปเองว่าตนเองไม่มีความสำคัญ เพราะมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยทำให้ขาดสำนึก
ความเป็นเจ้าของ พวกเขาจึงพยายามเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรหรือบริษัทเพื่อเติมเต็มความรู้สึกนี้
ซึ่งมันจะทำให้พวกเขาสูญเสียความทะเยอทะยาน, สูญเสียการตัดสินใจที่เด็ดขาดรวมถึงสูญเสีย
การมีความคิดเป็นของตนเองอีกด้วย ฉะนั้นความฝันที่สวยงามและสุดยอดสำหรับคนจนคือการที่พวกเขา
ได้เข้าไปทำงานในบริษัทขนาดใหญ่และทำงานอยู่ได้หลายสิบปี โดยสามารถ
เลื่อนขั้นจากเด็กฝึกงานได้ไปจนถึงระดับผู้บริหารอาวุโสนั่นเอง
คนรวย: คนรวยมักจะมีธุรกิจ หรือองค์กรเป็นของตัวเอง ซึ่งโดยปกติแล้วผู้นำในองค์กรคือ
คนรวยที่มักจะปลูกฝังสำนึกความเป็นเจ้าของให้กับคนอื่นโดยพวกเขามักจะบอกคนในองค์กรว่า
“คุณต้องตั้งใจทำงานและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในองค์กร รวมถึงจงรักภักดีต่อองค์กรและแสดง
ความคิดสร้างสรรค์ของคุณออกมา โดยสิ่งที่คุณพยายามทำทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นการทำเพื่อองค์กรแต่เพื่อตัวคุณเองต่างหาก”
ซึ่งสิ่งที่พวกเขาบอกกับคนในองค์กรนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เนื่องจากคนยากจนมีสิทธิ์ที่จะได้รับผลตอบแทน
จากความตั้งใจในการทำงาน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนรวยเหล่านั้นก็จะได้รับประโยชน์จากคนยากจนอีกต่อหนึ่งด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้คนร่ำรวยยังไม่เคยขาดสำนึกความเป็นเจ้าของ เพราะพวกเขาเป็นผู้สร้างความรู้สึกนี้และต้องการให้คนอื่นมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน!
3. วงสังคม
คนจน: ดังคำกล่าวที่ว่า ‘นกที่มีขนเหมือนกันจะอยู่รวมกลุ่มกัน’ ดังนั้นวงสังคมของคนจนจึงมักจำกัด
อยู่ในวงแคบและถือว่าการติดต่อกับสัมพันธ์กับคนรวยถือเป็นเรื่องที่พิเศษนอกจากนี้คนที่อยู่ในสถานะ
ทางสังคมที่เหมือนกันมักจะมีอะไรคล้าย ๆ กันทำให้เมื่อพูดคุยกันแล้วมีความสบายใจ เช่น
พวกเขาสามารถพูดคุยกันเรื่องสินค้าลดราคา, งานบ้านรวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันแต่การที่มีวงสังคม
ที่แคบนี้เองทำให้พวกเขาไม่มีความทะเยอทะยาน และปล่อยให้โอกาสแต่ละอย่างที่ผ่านเข้ามา
ในชีวิตหลุดลอยไปอย่างช้า ๆคนรวย: เพื่อนของเรามักจะสามารถบ่งบอก ถึงตัวตนของเราได้
ดังนั้นคนรวยจึงมักจะเป็นเพื่อนกับคนที่เอื้อประโยชน์ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าคนรวยจะคบเพื่อนที่ความรวย
พวกเขาจะคบกับคนที่รับฟังไอเดียของพวกเขา และสามารถให้แรงบันดาลใจได้ นอกจาก
นี้วงสังคมของคนรวยยังกว้างขวางและมีเพื่อนใหม่ ๆ อยู่เสมอเนื่องจากคนรวยมักจะขยายวง
สังคมให้กว้างขึ้นเพื่อรับข้อมูล ข่าวสารหรือความคิดใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์กับพวกเขานั่นเอง
4. แพชชั่น
คนจน: แพชชั่นเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตชีวา และความคิดสร้างสรรค์ โดยปกติแล้วคนยากจน
มักจะเน้นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยเป็นหลัก พวกเขาจึงทำงานทีละขั้นตอนเพื่อหลีกเลี่ยงความ
วุ่นวายและลดความ เ สี่ ย ง ที่จะเกิดขึ้นแต่ในขณะเดียวกันความรอบคอบ ที่มากเกินไปนี้ก็เป็นการ
ขัดขวางการมีแพชชั่นซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงาน แ ย่ ลงและมีการเฉื่อย
ชาทางความคิดรวมถึงเป็นอุปสรรค ในการการไล่ทำตามความฝันอีกด้วยนอกจากนี้การขาดแพชชั่น
จะทำให้คุณขาดแรง ก ร ะ ตุ้ น และขาดความเจริญรุ่งเรืองไปตามลำดับ
คนรวย: คนรวยมักต้องใช้ทั้งความอดทนและแพชชั่น ในการพัฒนาในอาชีพของตัวเองไปอีกขั้น
และการที่พวกเขาต้องแก้ไขปัญหาและฝ่าฝันอุปสรรคอยู่อย่างต่อเนื่องนี้เองทำให้คนรวยคุ้นเคยกับการ
ใช้ความอุตสาหะและแพชชั่น ในการเผชิญต่อสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยสำหรับพวกเขาแล้วรางวัล
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการไล่ตามแพชชั่นและการต่อสู้กับความยากลำบากไม่ใช่การที่พวกเขาร่ำรวยมากขึ้น
หรือการที่ได้ยกระดับสถานะทางสังคม แต่เป็นความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นจากการที่ได้ทำตามแพชชั่นและความฝันนั่นเอง
5. การเรียนรู้และการท้าทาย
คนจน: คนจนมักแสวงหาการใช้ชีวิต ที่ง่ายดายและสะดวกสบาย อีกทั้งชอบที่จะไหลไปตามน้ำแต่จะไม่คิดว่า
ทำอย่างไรตัวเองถึงจะโดดเด่นขึ้นมาพวกเขาไม่ชอบการผจญภัยและไม่เต็มใจที่จะเรียนรู้รวมถึงทำสิ่งใหม่ ๆ
ที่ท้าทายนอกจากจะถูกบังคับ ให้ทำเท่านั้น ซึ่งความล้มเหลวเป็นอุปสรรค
ที่ทำให้คนยากจนไม่มีการพัฒนาขีดจำกัดและก้าวออกมาจากกรอบของตนเอง
คนรวย: คนรวยมีการพัฒนาความรู้ และแนวคิดอย่างรวดเร็วเพราะพวกเขาได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ
ที่คนอื่นไม่กล้าทำ นอกจากนี้พวกเขายังท้าทายตัวเองอยู่ตลอดเวลาและลองค้นหาสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
ซึ่งไม่เหมือนกับคนจนที่มักกลัวความล้มเหลวเมื่อคนรวยตัดสินใจอะไรซักอย่างแล้วพวกเขาจะมุ่งตรงไป
ที่เป้าหมายซึ่งจะไม่ทำแบบขอไปทีแต่ต้องผ่านการวิเคราะห์ และคำนวณมาอย่างรอบคอบ กล่าวได้ว่า
คนจนคือคนที่อยู่ในกรอบและระมัดระวังตัวเกินไปส่วนคนรวยคือคนที่เปิดกว้างด้านการเรียนรู้
และกล้าที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ประสบความสำเร็จ
6. มุมมองเกี่ยวกับความร่ำรวยและการลงทุน
คนจน: คนจนมักจะเน้นที่การออมเงิน เพื่อให้ชีวิตผ่านไปได้ในแต่ละวันเพราะพวกเขาคิดว่าการเก็บออมเงิน
คือการเพิ่มมูลค่าของเงินและมักจะฝากเงินไว้ในธนาคารเนื่องจากเป็นวิธีที่ปลอดภัยและมั่นคงที่สุด
ในการเก็บ รั ก ษ า ของมีค่า นอกจากนี้คนจนยังใช้จ่ายในเงินไปในด้านค่าครองชีพ แต่มักจะไม่ค่อยนำเงิน
ไปลงทุนซึ่งอาจให้ผลกำไรที่มากขึ้น
คนรวย: การควบคุมค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปเป็นการลดคุณภาพชีวิต อีกทั้งยังไม่ช่วยเพิ่มฐานะ
ทางการเงินอีกด้วย ดังนั้นคนรวยจึงให้ความสำคัญกับการหาแหล่งรายได้ใหม่อีกทั้งการได้ด อกเบี้ยเล็ก ๆ
น้อย ๆ จากเงินฝากในธนาคารก็ไม่ได้ เป็นจำนวนที่มากนัก ดังนั้นคนรวยจึงมีมุมมองด้านการเงินที่มีความยืดหยุ่นและเปิดกว้าง
พวกเขาจึงมีการนำเงินไปลงทุนในโปรแกรมการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนจำนวนมาก
ทั้งนี้ ข้อแตกต่างระหว่างคนรวย กับคนจนไม่ได้มีเฉพาะดังที่กล่าวมาเท่านั้น เพราะเรายังต้องเรียนรู้ ลักษณะนิสัยของพวกเขาเพิ่มเติมอีกด้วย