
ชายตาบอดถือโคมไฟ เรื่องเล่าในอดีตที่เหมาะกับยุคสมัยนี้ในยุคสมัยที่
ต่างคนต่างเห็นแก่ตัวเองมากขึ้น มีเรื่องเล่าอยู่ว่า…มีซอยเล็กๆซอยหนึ่งที่
ทั้งมืดทั้งแคบ… ไม่มีแสงไฟส่องทางแต่เป็นถนนที่ทุกคนต่างใช้สัญจรกันเป็นประจำ
เพราะ เป็นเส้นทางลัดคืนวันหนึ่ง… พระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังซองนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม
มืดมากกระทั่งนิ้วมือทั้งห้า ยังไม่อาจมองเห็นได้เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น
และ ถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก…ตอนนั้นเอง คนผู้หนึ่งถือโคมไฟ
เดินเข้ามายังตรอกดังกล่าวพลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร
พระได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า… “ คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย ”
เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจรอจนกระทั่งคนตาบอด ถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา
จึงเอ่ยถามขึ้นว่า… “ ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ…? ”
คนผู้นั้นตอบว่า… “ ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้า สาย บ่าย เย็น ล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่า แสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร ”
พระได้ยินดังนั้นก็ ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า… “ เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร…? ”
คนตาบอดตอบว่า… “ เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืน
ไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้า คือมองไม่เห็นสิ่งใด
เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอา ใช่หรือไม่…? “
” ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน
ข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่าน คือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง แต่เมื่อข้าถือโคมไฟ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…
ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้น ข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย”
พระได้ยินความดังนั้นก็บรรลุปัญญา… “ การช่วยเหลือผู้อื่น เป็นประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้ ”
หากเรามีดอกไม้ในมือ เมื่อเรายื่นดอกไม้ให้ผู้อื่น ผู้ให้ย่อมได้กลิ่นหอมของดอกไม้ก่อน
หากเราพยายามปาโคลนใส่ใคร ก็เป็นมือเรานั้นแหละที่ต้องเปื้อนโคลนก่อน
นิทานเรื่องนี้ให้ข้อคิดคล้ายๆ กับเรื่องราวของครูไอซ์ผู้ที่มีปัญหาด้านการมองเห็นตั้งแต่กำเนิด
แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข้อบกพร่องนี้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตด้วยความมุ่นมั่น และ ตั้งใจ ที่จะเป็นผู้ให้
จึงไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวางกั้นได้จนทำให้ได้รับการยอมรับในสังคม และ เป็นที่รักของนักเรียนเป็นอย่างมาก
ถึงแม้สายตาจะมืดบอด แต่ดวงใจยังส่องแสงสว่างให้สังคม และ ผู้คนรอบข้างเสมอ