Home ข้อคิดดีๆ ทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่รวย อาจเพราะ 7 ความคิดที่ทำให้คุณจน

ทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่รวย อาจเพราะ 7 ความคิดที่ทำให้คุณจน

หลาย ๆ คนน่าจะรู้จักคุณคุณคิโยซากิ ผู้เขียนในหนังสือการเงินชื่อดังอย่าง พ่ อ ร ว ย ส อ น ลู กเขาบอกว่าพ่อ

ที่แท้จริงของเขานั้นมีความคิดแบบ “พ่อจน” ส่วนพ่อของเพื่อนสนิทเขามีความคิดแบบ “พ่อรวย”

ซึ่งเริ่มต้นด้วยเงินเพียงน้อยนิดแต่สามารถกลายเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดของฮาวายได้!

ด้วยการที่เขาได้คลุกคลีกับพ่อทั้งสองท่าน คุณคิโยซากิก็ได้เรียนรู้ว่าคำพูดของพ่อ

ทั้งสองนั้นแตกต่างกันเราลองมาดูกันว่า ถ้า อ ย า ก จะมีทัศนคติแบบคนรวย

ต้องทำอย่างไร แล้วความคิดแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยง?

พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่มีวันรวยหรอก”

พ่อรวยบอกว่า “ฉันเป็นคนรวย”

แม้ว่าพ่อรวยของคุณคิโยซากิจะเจอภาวะล้มละลาย เขาก็ยังเรียกตัวเองว่า “คนรวย”

โดยเสริมว่า ความแตกต่างระหว่างการล้มละลายกับความจนก็คือ

การล้มละลายน่ะมันแค่ ชั่ ว ค ร า ว แต่ความจนน่ะคือตลอดไป”

พ่อจนบอกว่า “ฉันซื้อมันไม่ได้หรอก”

พ่อรวยบอกว่า “ฉันจะซื้อมันได้อย่างไร”

ประโยคของพ่อจนนั้นเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่ชวนให้ท้อถอยเสียเหลือเกิน แค่พูดคำนี้ ส ม อ ง

ก็ไม่ทำงานต่อแล้วส่วนประโยคของพ่อรวยนั้นเป็นคำถามที่ ก ร ะ ตุ้ น ส มอ ง ให้คิดหา

วิธีสร้างเงินเพื่อมาซื้อสิ่งนั้น ๆแต่เดี๋ยวก่อน! ขาช้อปอย่าเพิ่งเฮไป นี่ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะซื้อ

ทุกอย่างที่เราปรารถนาแต่ประเด็นอยู่ที่การฝึก ส ม อ ง ให้คิดหาคำตอบเรื่อยๆ ต่างหาก ว่าจะหาทางสร้างเงินอย่างไร

ไม่แน่ว่าพอเราได้เงินนั้นมาแล้ว เราอาจจะไม่ได้ อ ย า กได้ของชิ้นนั้นแล้วก็ได้

พ่อจนบอกว่า “บ้านของฉันคือสินทรัพย์”

พ่อรวยบอกว่า “บ้านของฉันคือหนี้สิน”

หลายคนยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน ให้เราอธิบายง่ายๆ ละกันสมมติเราตกงานวันนี้

สินทรัพย์คือสิ่งที่จะยังทำเงินให้เราได้ ส่วนหนี้สินจะดึงเงินออกจากเรา ในกรณีของบ้านซึ่งเป็นตัวอย่างข้างต้นนั้น

เป็นสิ่งที่มีมูลค่าสูง แต่กลับไม่ค่อยเพิ่มมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไปสักเท่าไรนัก แถมเราอาจจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้บ้านเรื่อยๆ ด้วย

จึงทำให้บ้านกลายเป็นหนี้สินอย่างเห็นได้ชัด แต่ๆๆ ไม่ได้จะบอกว่าไม่ให้ซื้อบ้านนะ

ถ้าซื้อด้วยความจำเป็นมันก็โอเค จุดสำคัญคือ เราต้องเข้าใจว่าสินทรัพย์และหนี้สินต่างกันอย่างไร

พ่อจนบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้ทำงานในบริษัทดีๆ”

พ่อรวยบอกว่า “เรียนให้หนักเข้าไว้ จะได้สามารถเป็นเจ้าของบริษัทดีๆ ได้”

เหล่าคนรวยมักไม่กลัวที่จะคิดการใหญ่ พวกเขาจะตั้งความหวังไว้สูงๆและคาดหวังว่าจะทำเงินได้เยอะๆ

ในขณะที่คนธรรมดาทั่วไปคาดหวังว่าพวกเขาจะต้องลำบาก และไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูงมาก

พ่อจนบอกว่า “เรื่องเงินทอง อย่าไป เ สี่ ย ง ”

พ่อรวยบอกว่า “จงเรียนรู้วิธีบริหารความ เ สี่ ย ง ”

มีหลายคนที่กลัวความ เ สี่ ย ง จึงเก็บเงินไว้กับตัวเอง นั่นเพราะพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าจริง ๆ ความ เ สี่ ย ง

นั้นสามารถบริหารจัดการกันได้คนรวยส่วนใหญ่ลงเล่นเกมการเงินก็เพื่อเอาชนะ ซึ่งพวกเขาต้องมีความกล้าได้

กล้าเสียระดับหนึ่งแต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถรับความไม่แน่ไม่นอนได้ นั่นหมายความว่า พวกเขา

ไม่ได้แค่หลับหูหลับตาก้าวเข้าไปสู้รบแบบไม่รู้เรื่องอะไรแบบนั้น อั น ต ร า ย พวกเขาต้องกล้าที่จะรับความ

เ สี่ ย ง แบบชาญฉลาด ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความรู้ระดับหนึ่งดังนั้น เพื่อที่จะให้ได้ประสบการณ์และความรู้มากขึ้น

เราก็ต้องลอง! ลองผิดลองถูกและเรียนรู้ทุกครั้งเมื่อสำเร็จหรือล้มเหลว

สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้เรา และทำให้เราเข้าใจความ เ สี่ ย ง มากขึ้น

พ่อจนบอกว่า “ฉันไม่สนใจเรื่องเงินหรอก”

พ่อรวยบอกว่า “เงินคืออำนาจ”

พวกเราส่วนใหญ่มักถูกสอนให้เรียนดีๆ หางานดีๆ และจงพอใจในชีวิตที่เรามีอยู่เสีย จะว่าเป็นความคิดที่ดีมันก็ดี

มันทำให้เราไม่โลภ อ ย า ก ได้อะไรเกินตัวเกินไป แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะปิดกั้นศักยภาพบางอย่างของเรา

ที่อาจจะเติบโตได้อีกในทางตรงกันข้าม คนรวยจะคิดถึงเรื่องเงินแบบเป็นขั้นเป็นตอน และมองเงินว่าเป็นเครื่องมือ

ที่มีอำนาจซึ่งสามารถนำมาซึ่งตัวเลือกและโอกาสต่างๆ ได้พูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าเงินจะถูกมองไม่ดีอย่างไร

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีเงินเยอะๆ ก็ถือเป็นแต้มต่อให้ชีวิตจริงๆ

พ่อจนบอกว่า “ฉันทำงานเพื่อเงิน”

พ่อรวยบอกว่า “เงินทำงานให้ฉัน”

ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนธรรมดาอย่างหนึ่งก็คือวิธีที่พวกเขาได้รับเงิน คนธรรมดาส่วนใหญ่ก็ทำงานแลกเวลาหาเงินกันไป

เงินเดือนออกทีก็ชาบูที วิธีนี้แม้จะการันตีว่าได้เงินแน่นอนแต่ถ้ามัวแต่ทำงานแบบนี้อย่างเดียวโดยไม่หาทางให้เงินงอกเงยทางอื่นเลย

ก็อาจจะทำให้เงินไม่พอในอนาคต และมีความ เ สี่ ย ง หากเกิดกรณีตกงานอีก

ในขณะที่คนรวยนั้นส่วนใหญ่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ทำงานแบบมีค่าคอมมิชชั่น หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

หลายคนอาจจะบ่นว่า โห มีเงินแค่นี้ จะให้มันทำอะไรได้ ไม่พอหรอก ซึ่งเราก็ปฏิเสธ แต่ชีวิตเราไม่จำเป็นต้องเลือกทางเดียว

เราสามารถทำงานไปด้วย และให้เงินทำงานแทนเราไปพร้อม ๆ กันก็ได้ ผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

เช่น หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ หรือ สร้างธุรกิจเล็ก ๆ ที่พอจะสร้างกำไรให้เราได้ ควบคู่ไปด้วย

Load More Related Articles
Load More By wera phosri
Load More In ข้อคิดดีๆ

Check Also

11 การเอาตัวรอดเป็น ไปทำงานที่ไหนก็ราบรื่น ไม่ลำบาก

1 เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม คนที่ฉลาดมักจะมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดีในสถานการณ์ต่…