
คำว่าออมเงินนั้น พูดง่าย แต่ทำไมมันทำยากจัง กว่าจะออมเงินได้แต่ละบาท มันก็ยากพอสมควร
พอมีรายได้เข้ามาหน่อย แปปเดียวก็หมดเกลี้ยง จนได้มานั่งพิจารณาว่าสาเหตุที่ไม่มีเงินออมคืออะไร
ก็ได้คำตอบว่า กระเป๋าเดียว ใช้ครอบจักรวาลนี่แหละ ได้เงินมาเท่าไหร่ รวมเงินไว้ใช้กระเป๋าเดียว
จ่ายทุกอย่างไปหมด เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ และยังต้องจ่ายดอกเบี้ยต่างๆ ใช้จ่ายเรื่องส่วนตัวอีก
ดังนั้นเราควรตั้งสติ เริ่มออมเงินด้วยการเปลี่ยนจากการที่เรา “ใช้กระเป๋าเดียวจ่ายทุกอย่าง”
มาเป็น “แยกกระเป๋าใช้จ่าย ” และวันนี้เราก็มีแนวทางมาฝากกัน ไปดูเลย
1. กระเป๋าที่ใช้จ่าย นั่นคือไว้ใช้จ่ายอย่างเดียวเลย
กระเป๋าส่วนนี้ไว้ใช้จริงๆ ค่าใช้จ่ายหลักๆ นั่นคือ การเคลียร์หนี้สินรายเดือน ใช้จ่ายส่วนตัว
และรวมไปถึงเรื่องสำคัญในครอบครัว ฉะนั้นเราควรแยกไว้ที่กระเป๋านี้ทั้งหมดเลย สำคัญเลยคือ
กระเป๋าใช้ ต้องจดบัญชีรายรับรายจ่ายไว้ด้วย แรกๆ อาจจะเขียนไว้ก่อนเลย ว่าตอนนี้มีรายการหนี้สินอะไร
รวมแล้วเป็นเท่าไหร่ มันจะทำให้รู้ได้ว่า จะสร้างหนี้เพิ่มได้ไหม และหากเงินหมดเร็วกว่าที่คิด
พอเราเปิดบัญชีดูย้อนหลัง ก็สามารถรู้ได้ว่าเดือนนี้เราหมดเงินไปกับอะไร
จ่ายแค่ไหน และเดือนหน้าเราก็จะสามารถจัดการเงินของเราได้ดีมากขึ้นด้วย
2. กระเป๋าที่ใช้เก็บ คือเก็บออมเงินอย่างเดียว
กระเป๋าเก็บนี้เราไม่ควรหยิบมาใช้เลยแหละ เอาไว้ออมเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างเช่น
ใช้เวลาฉุกเฉิน เจ็บป่วย วิธีง่ายๆ ก็คือเริ่มจากวันที่เงินเดือนออก แล้วจากนั้นก็หัก 10% ของเงินเดือน
เช่นว่าเราเงินเดือน 19,000 บาท เราก็เก็บ 1,900 บาท และไม่เอามาปนกับกระเป๋าใช้
แนะนำให้เปลี่ยนจากหยอดกระปุก มาเป็นการเปิดบัญชีออมทรัพย์ เพราะเรายังได้ดอกเบี้ยด้วยนะ
คำนวณง่ายๆ เก็บเดือนละ 1,900 บาท พอถึงปีก็มีเงินเก็บตั้ง 22,800 เชียวนะ เมื่อเราแยกเงินเป็น 2 กระเป๋า
มันจะบริหารง่ายกว่าเดิม การมี 2 กระเป๋า แยกเป็น “กระเป๋าเก็บ กระเป๋าใช้” ทำให้เรารู้ว่าเงินก้อนใด
เก็บไว้เพื่ออนาคต และเงินก้อนใด เอาไว้ใช้ในปัจจุบัน มันช่วยให้เราจัดการเรื่องเงินได้ง่าย
ชีวิตเราก็จะมีเงินออม เพื่อใช้ยามฉุกเฉินด้วย ลดความกังวลในอนาคตได้เยอะเลย
ขอบคุณ t i d l o r